หลาย ๆ คนเปิดร้านค้าปลีกขึ้นมา แต่ไม่ทราบถึงวิธีการจัดเรียงสินค้าในร้าน ว่าควรวางไว้ตำแหน่งไหน บ้างก็วางสะเปะสะปะ บ้างก็วางตามใจฉัน
พอลูกค้าเดินเข้ามาซื้อแล้วหาสินค้าไม่เจอ เขาก็เดินออก… ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ต้องการลองมาอ่านเรื่องราวดี ๆ ที่เรานำมาแบ่งกันให้คุณกันนะคะ
ความสำคัญของการจัดเรียงสินค้า
การจัดเรียงสินค้า มีความสำคัญต่อร้านค้าปลีกเป็นอย่างมาก เพราะมันมีผลต่อความสะดวกสบายของลูกค้าที่จะหยิบจับสินค้าจากชั้นวาง รวมถึงความเพลินเพลินกับการช้อปปิ้งที่ร้านของคุณ ถ้าคุณจัดสรรปันส่วนในทุกพื้นที่ของร้านและชั้นวางสินค้าให้มีประโยชน์มากที่สุดจะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เลยค่ะ
1.2) ใช้ ชั้นวางสินค้า ที่เสริมความโดดเด่นของสินค้าของคุณ
โดยชั้นวางสินค้านั้นจะต้องมีดีไซน์และลักษณะที่เข้ากับตัวสินค้า อย่างเช่น ถ้าสินค้าของคุณเป็นไม้กวาด , ไม้ถูพื้น คุณก็ควรหาชั้นวางที่มีดีเทลสามารถแขวนสินค้าได้ เป็นต้นไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกประเภทไหน ก็ควรมีเชลฟ์ที่โชว์สินค้าได้เหมาะสมสวยงามเข้ากันกับสินค้าตัวนั้น ซึ่งการออกแบบร้านค้าปลีกที่ดีต้องอาศัยการเลือกชั้นวางที่ถูกประเภท ร้านค้าปลีกนั้น ๆ จึงจะสมบูรณ์แบบมากที่สุดค่ะ
1.3) แบ่งโซนสินค้าให้ชัดเจน
ว่าแต่ละโซนเป็นสินค้าประเภทไหน ถ้าจะให้ดีควรมีป้ายบอกในแต่ละโซนด้วย เพื่อความสะดวกในการหาสินค้าของบรรดานักช้อปทั้งหลาย ยิ่งสะดวกมากเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งเพลิดเพลินในการซื้อหาที่ร้านของคุณมากเท่านั้นนะคะ
ดูรูปเพิ่มเติม > ผลงานติดตั้งชั้นวางสินค้าร้านห้าแยกกรุ๊ป
2. เรียงสินค้าให้สัมพันธ์กัน
วิธีการนี้จะช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น และมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าในร้านของเราขึ้นไปทีละหลายชิ้นอีกด้วยนะคะ
เคยลองสังเกตตัวเองมั้ยคะ? เวลาที่ไปสะดวกซื้อต่างยิ่งเราหาสินค้าที่ชอบเจอ สายตาจะมองเห็นสินค้าที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งมีความน่าสนใจจนต้องหยิบเข้าตะกร้าอีกเช่นกัน นี่คือผลของการจัดเรียงสินค้าให้สัมพันธ์กันค่ะ
ตัวอย่างเช่น
- การวางแชมพูไว้ข้าง ๆ กับครีมนวดผม, ทรีตเม้นท์ผม, หมวกคลุมผมอาบน้ำ, สเปรย์จัดแต่งทรงผม, รวมถึงผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม
- การวางหมอนไว้ข้าง ๆ กับตุ๊กตา ผ้าห่ม, ชุดนอน, รองเท้าสลิปเปอร์
- การวางอุปกรณ์ทำครัวไว้ใกล้ ๆ กับกล่องข้าว, ปิ่นโต, ช้อนส้อม
การวางสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันไว้ใกล้ ๆ กันแบบนี้เรียกว่า Cross Selling ซึ่งมันคืออะไร? และมีความหมายอย่างไร? หากอยากทราบเพิ่มเติม อ่านได้ที่บทความนี้เลยค่ะ >> Cross selling คืออะไร? พร้อม 7 ตัวอย่างที่อ่านแล้วเข้าใจทันที!
3. เรียงสินค้าให้สมดุล
สมดุลในที่นี้หมายถึงการที่วางของที่มีน้ำหนักมากไว้ด้านล่าง ส่วนของที่เบาวางไว้ด้านบน ช่วยป้องกันของที่มีน้ำหนักมากตกหล่นลงมา
ตัวอย่างเช่น ถุงข้าวสาร, น้ำดื่มขวดใหญ่, ผงซักฟอกถุงใหญ่ หรือสินค้าที่เป็นแพ็คให้วางเรียงที่ด้านล่าง ส่วนสินค้าที่เป็นขนมนมเนยชิ้นเล็ก ๆ ก็วางไว้ด้านบน ซึ่งควรเรียงขึ้นไปตามลำดับของน้ำหนักสินค้าค่ะ
4. เรียงสินค้าให้น่ามอง
การจัดเรียงสินค้าให้น่ามองก็คือ คุณต้องเรียงสินค้าให้เป็นระเบียบและเป็นสัดส่วน มีช่องวางที่พอเหมาะ มันจะทำให้สินค้าน่ามองมากยิ่งขึ้น บนชั้นวางจะต้องมีสินค้าเต็มชั้นโชว์ตลอดเวลา ควรสำรวจและตรวจเช็ค รวมถึงมีการจัดชั้นวางสินค้าบ่อย ๆ เมื่อสินค้าพร่องหรือมีช่องโหว่ คุณก็ควรหมั่นเติมสินค้าอยู่เสมอนะคะ
4.1) ติดป้ายราคาในสินค้าทุกชิ้น
การมี ป้ายราคา จะช่วยให้ผู้บริโภคอยู่กับสินค้าได้นานขึ้น เพราะเวลาเขาจะซื้ออะไรสักอย่าง จะต้องมีการเปรียบเทียบราคากัน ระหว่างยี่ห้อหรือแบรนด์ต่าง ๆ มีผลอย่างมาต่อการซื้อสินค้า
4.2) ติดป้ายโฆษณา, ป้าย Sale, ป้ายสินค้าแนะนำ
ป้ายต่าง ๆ เหล่านี้มีความสะดุดตา จึงจะช่วยให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหยุดมอง เมื่อเขาหยุดแล้ว… มีหรือคะที่เขาจะไม่หยิบสินค้านั้น ๆ ขึ้นมาดู ตัวอย่างการติดป้ายต่าง ๆ บนเชลฟ์
หรือถ้าคุณอยากลองศึกษาเพิ่มเติมว่า ทำไมต้องติดป้ายโฆษณา ลองอ่านบทความนี้ที่คนเขียนได้เขียนไว้นะคะ >> ทำไม? ชั้นวางสินค้า ต้องติดด้วยป้ายโฆษณาหรือ Shelf talkers
- เรียงสินค้าให้มองเห็นได้ง่าย = จะต้องจัดเรียงสินค้าขายดีให้อยู่ในระดับสายตา, เลือกชั้นวางที่เหมาะสมกับสินค้า, แบ่งโซนสินค้าให้ชัดเจน
- เรียงสินค้าให้สัมพันธ์กัน = ต้องมีการจัดชั้นวางสินค้าให้มีของที่เกี่ยวเนื่องการ เพื่อให้ลูกค้าหยิบซื้อต่อเนื่องและง่ายดาย เช่น จัดเครื่องครัวไว้ใกล้ ๆ กล่องข้าว, ปิ่นโต, ช้อนส้อม
- เรียงสินค้าให้สมดุล = วางสินค้าที่มีน้ำหนักมากที่ด้านล่าง และเรียงขึ้นไปตามลำดับของความหนักเบา
- เรียงสินค้าให้น่ามอง = ทำให้เป็นระเบียบ ไม่รก ตกแต่งป้ายต่าง ๆ เพิ่มเติม
PN หวังว่าคนอ่านที่น่ารักจะได้ประโยชน์และสามารถนำทริคต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้ในการจัดเรียงสินค้าที่ร้านค้าปลีกของคุณนะคะ